“ฟิลลิป” ประเมินตลาดหุ้นไทยเช้านี้ ดัชนี SET Index ยังคงขึ้นต่อได้ แต่จำกัดในกรอบระหว่าง 1,640-1,655 จุด อานิสงส์ราคาน้ำมันตลาดโลกพุ่งท่ามกลางความขัดแย้งการเมืองระหว่างประเทศ หนุนหุ้นกลุ่มพลังงาน-เปิดใช้มาตรการ Test&Go-มาตรการกระตุ้นการบริโภคภายใน ลุ้นกลุ่มท่องเที่ยวเปิดเมืองกลับมาเด่น ลุ้นนักลงทุนสถาบันคัมแบคกลับมาซื้อหุ้นไทย
วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) รายงานแนวโน้มตลาดหุ้นไทยว่า ดัชนี SET Index เช้านี้คาดยังคงขึ้นต่อได้แต่จำกัดในกรอบระหว่าง 1,640-1,655 จุด โดยในระยะสั้นจะได้รับอานิสงส์เชิงบวกจาก 1.การพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลกท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองจะยังคงหนุนหุ้นกลุ่มพลังงาน และ 2.การเปิดประเทศจากการใช้มาตรการ Test&Go และมาตรการกระตุ้นการบริโภค จะช่วยหนุนกลุ่มท่องเที่ยวและการบริโภคภายใน
อย่างไรก็ดี ประเด็นการเมืองระหว่างประเทศเป็นความไม่แน่นอนที่นักลงทุนยังจับตามอง
จะทำให้อัพไซด์ของตลาดค่อนข้างจำกัด
โดยกลยุทธ์การลงทุนเดือนนี้ ลุ้นนักลงทุนสถาบันกลับมาซื้อหุ้นไทยอีกครั้งหลังตอบรับความเสี่ยงไปมากแล้วและสถานการณ์โควิดในประเทศมีแนวโน้มคลี่คลาย ทางฝ่ายยังชอบธีม 1.Value Play ที่ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจ
โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารที่ได้อานิสงส์ทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น ทางฝ่ายเลือก KBANK 2.หุ้นท่องเที่ยวเปิดเมืองคาดว่าจะกลับมาโดดเด่นจากการใช้ Test&Go อีกครั้ง (AOT, ERW, CENTEL, MINT, CPALL) และ 3.หุ้นที่คาดผลประกอบการไตรมาส 4/64 ออกมาดี
ทั้งนี้ ปีนี้ความกังวลการใช้นโยบายทางการเงินที่เข้มงวดขึ้นของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) และการเร่งตัวขึ้นของเงินเฟ้อส่งผลให้เดือนนี้ SET Index ปรับตัวลง 8.81 จุด หรือ -0.53% จากเดือนก่อนหน้า ไม่มี January Effect ส่วนในเดือน ก.พ.65 ทางฝ่ายคาดทิศทางตลาดน่าจะพลิกมาบวกหลังตอบรับปัจจัยต่างๆ ไปมากแล้ว ประกอบกับสถานการณ์โควิดทั่วโลกและในประเทศไทยจะทยอยคลี่คลายดีขึ้นตามลำดับ
ลุ้นกลุ่มท่องเที่ยวเปิดเมืองกลับมาโดดเด่นจากการใช้มาตรการ Test&Go อีกครั้ง ส่วนปัจจัย
ที่แม้จะยังไม่กดดันโดยตรง แต่ต้องจับตาใกล้ชิดคือ การเมืองระหว่างประเทศของรัสเซีย-ยูเครน-สหรัฐ ที่หากเกิดภาวะสงครามหรือการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจขึ้นจะก่อให้เกิดวิกฤตลุกลามไปทั่วโลกโดยเฉพาะด้านพลังงาน
ล่าสุด Goldman Sachs ปรับลดคาดการณ์ GDP สหรัฐปี’65 เหลือ 3.2% จากเดิม 3.8% เนื่องจากต้นปียังคงถูกกดดันจากการแพร่ระบาดของโควิดสายพันธุ์โอมิครอนและมาตรการอุดหนุนด้านการจับจ่ายใช้สอยจากรัฐบาลลดลง สอดคล้องกับการปรับลดคาดการณ์ของ IMF ก่อนหน้านี้ที่ระบุว่าสหรัฐจะเติบโตได้น้อยลง ทั้งผลกระทบจากโอมิครอนและการถอนสภาพคล่องหนุนตลาดของ Fed
ดังนั้น ปีนี้สิ่งที่ต้องจับตาต่อจากทั้งเศรษฐกิจสหรัฐและทั่วโลกคือช่วงเวลาและปริมาณการทำลดขนาดงบดุล (QT) จะเป็นตัวกำหนดทิศทางทั้งตลาดหุ้นไทยและทั่วโลก โดยจากสถิติปี’61 ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงกว่า 16.5% หรือลดลงกว่า 300 จุด เมื่อ Fed ทำการลดขนาดงบดุล
ส่วนทิศทางค่าเงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่อง ค่าเงินบาทไทยอ่อนค่าแตะระดับ 33.20 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มส่งออกและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ประกอบกับระยะสั้นดัชนี NASDAQ เริ่มกลับมาฟื้นตัว ลุ้งเก็งกำไรระยะสั้นหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (HANA, KCE) ที่ราคาปรับตัวลงมาแรงก่อนหน้านี้ได้เช่นกัน
อ้างอิง
https://www.prachachat.net/finance